มาที่นี่ที่เดียว ได้อ่านบทความทางด้านการแพทย์ ภาษาไทย จากเกือบทุกโฮมเพจที่มีใน INTERNET
ถ้าที่นี่ขัดข้อง ไปที่นี่ก็ได้ครับ i.am/thaidoc หรือ hey.to/yimyam

[ คัดลอกจากนิตยสารใกล้หมอ ปีที่ 21 ฉบับที่ 11 พฤศจิกายน 2540]

ความก้าวหน้าเรื่องยาต้านเอดส์

ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค


ยารักษาโรคเอดส์ ได้มีการพัฒนาไปค่อนข้างรวดเร็วมาก โดยเฉลี่ยจะมียาใหม่เกิดขึ้นในท้องตลาด (สหรัฐอเมริกา) ประมาณปีละ 1-2 ขนานตลอด ในปัจจุบันมียาต้านเอดส์ที่จำหน่ายอยู่ในอเมริกา 11 ขนาน ในขณะที่ขึ้นทะเบียนอยู่ในประเทศไทยเพียง 8 ขนาน และยังมียาที่อยู่ในขั้นการศึกษาวิจัยประสิทธิภาพในคน ที่กำลังจะออกสู่ท้องตลาดภายใน 1-2 ปี อีกราว 4-5 ขนาน

อย่างไรก็ตามยาต่าง ๆ ที่มีอยู่ก็ยังอยู่ใน 3 กลุ่มเดิม คือ กลุ่มที่เรียกว่า
  1. "Nucleoside reverse transcriptase inhibitors"
  2. "Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors" และ
  3. "Protease inhibitors"

ซึ่งยาหลายตัวมีการดื้อยาเหมือนๆ กัน ถ้าเป็นตัวยาที่อยู่ภายในกลุ่มเดียวกัน กล่าวคือ ถ้าดื้อยาตัวใดตัวหนึ่งในกลุ่มนั้นอาจไม่ได้ผล ที่จะใช้ยาตัวอื่น ในกลุ่มเดียวกัน ต้องข้ามไปใช้ยากลุ่มอื่น ซึ่งก็ไม่มีให้เลือกมากนัก

นอกจากจะมีการพัฒนาทางด้านปริมาณดังที่กล่าวแล้ว ยังมีการพัฒนา ทางด้านคุณภาพด้วยค่อนข้างมาก กล่าวคือ ยาต้านเอดส์ตัวใหม่ๆ จะมีประสิทธิภาพแรงขึ้น ฆ่าเชื้อไวรัสเอดส์ได้มากขึ้น บางตัวก็มีการพัฒนาขึ้นให้ใช้ได้เพียงวันละครั้ง เพราะออกฤทธิ์ในร่างกาย ได้ยาวนาน เช่น ยาดีดีไอ ที่รู้จักกันมานาน โดยเดิมทานวันละ 2 ครั้ง ตอนนี้พบว่าสามารถรวบทานเป็นวันละมื้อเดียว ก็ได้ผลดีเท่ากัน ทำให้สะดวกมากขึ้นในการใช้ยา

ระยะเวลาในการเริ่มต้นใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ ก็ได้มีการพัฒนาแนวคิดไปมาก ในปัจจุบันแนะนำให้ใช้ยิ่งเร็วยิ่งได้ผลในระยะยาวที่ดี เพื่อความคุ้มค่า ในการใช้ยา ปัจจุบันแนะนำว่า ให้เริ่มต้นใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ ถ้าระดับภูมิคุ้มกันเริ่มจะต่ำลง โดยดูจากระดับ CD4+cell ถ้าต่ำกว่า 500 ตัวก็เริ่มให้ยาได้ แม้จะยังไม่มีอาการอะไร ในระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา มีการนำการวัดปริมาณไวรัสเอดส์ในเลือดมาร่วมเป็นเกณฑ์ตัดสิน การเริ่มต้นใช้ยาต้านไวรัสเอดส์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มี CD4+cell เกิน 500 ถ้าระดับไวรัสในเลือดเกิน 10,000 ตัวขึ้นไป ก็ควรเริ่มให้ยาแล้ว เหตุผลที่แนะนำให้เริ่มการรักษาแต่เนิ่นๆ เพราะถ้ายิ่งรอนาน เชื้อเอดส์จะยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น ทำให้ยาก ต่อการลดจำนวนลง และเชื้อที่ยังหลงเหลืออยู่ เมื่อมีการแบ่งตัว ก็อาจเกิดการแปลงพันธุ์ ทำให้ได้เชื้อที่ดื้อยาเร็ว

นอกจากนี้ ปริมาณหรือจำนวนตัวยาที่จะใช้ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ก็ต้องเป็น 2-3 ตัวพร้อมกัน เป็นอย่างน้อย ห้ามใช้เพียงตัวเดียวโดดๆ เพราะจะเกิดการดื้อยาง่าย เนื่องจากยาโดดๆ ตัวเดียวลดปริมาณเชื้อได้ไม่มาก ต้องใช้ยา 2-3 ตัวขึ้นไปจึงสามารถลดปริมาณเชื้อลงมาจนตรวจไม่พบได้

หลายๆ ท่านอาจเคยได้อ่านพบข่าวคราวของ Dr.David Ho จากกรุงนิวยอร์กว่า ใช้ยา 3-4 ตัวร่วมกันในคนไข้ จะทำให้เชื้อไวรัสเอดส์ในเลือดลดลงมา จนถึงระดับที่ตรวจไม่พบในคนไข้ส่วนใหญ่ จึงหวังว่าถ้าให้ยาสูตรแรงๆ แบบนี้ไปสัก 3 ปี ไวรัสใหม่ไม่แบ่งตัว เพราะถูกยากดไว้ ขณะเดียวกัน ไวรัสเดิมในร่างกาย รวมทั้งที่อยู่ตามเนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆ ก็จะค่อยๆ ตายไปตามอายุขัยของมัน ในที่สุดคนไข้นั้นอาจกำจัดเชื้อเอดส์ ออกจากร่างกายได้จริงๆ คือ สามารถรักษาให้หายขาดได้

คาดว่าภายใน 1-2 ปี จากนี้ นักวิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์ทฤษฎีที่ท้าทายนี้ได้ว่า เป็นจริงหรือไม่ โดยการหยุดยาในคนไข้ที่กินยามานานพอ แล้วค้นหา โดยวิธีการทุกรูปแบบว่า ยังมีเชื้อเอดส์หลงเหลืออยู่ในร่างกายหรือไม่ ? ดังนั้น ในอีก 1-2 ปีข้างหน้า อาจมีข่าวดีสำหรับชาวโลก ว่า โรคเอดส์สามารถรักษาให้หายขาดได้

อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้านไวรัสเอดส์เดียวๆ เช่น AZT ก็ยังเป็นมาตรฐานทั่วโลกในการป้องกันไม่ให้ลูกที่เกิดมาใหม่ติดเอดส์จากแม่ได้ ทั้งนี้เป็นผลการศึกษาที่ถูกเปิดเผยออกมา เมื่อต้นปี 2537 ว่า หญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์ ถ้าได้รับยา AZT ตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้ 14 สัปดาห์ เป็นต้นไป จนถึงครรภ์ 34 สัปดาห์ โดยให้ยา AZT จนเด็กคลอดจึงหยุด และให้ยา AZT แก่ทารกต่ออีก 6 สัปดาห์หลังคลอด จะสามารถลดอัตรา การติดเอดส์จากแม่สู่ลูกลงได้จาก 25% ลงเหลือเพียง 8.3% ลดลงได้ 2 ใน 3 แสดงว่า AZT สามารถช่วยลดชีวิตทารกไม่ให้ติดเอดส์ได้

จากผลการติดตามโครงการ "ช่วยลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก" ของสภากาชาดไทย ซึ่งเป็นโครงการที่รับบริจาคเพื่อซื้อยา AZT ให้กับหญิงตั้งครรภ์ที่ยากจนทั่วประเทศ โครงการนี้เป็นโครงการที่อยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ของ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวรี พระวรราชาทินัดดามาตุ และได้รับการสนับสนุนจาก กระทรวงสาธารณสุข ก็พบว่า การให้ยา AZT แก่หญิงตั้งครรภ์ไทยที่ติดเอดส์ ก็ได้ผลในการลดการติดเอดส์จากแม่สู่ลูก ได้ในระดับที่ใกล้เคียง กับการศึกษาในสหรัฐอเมริกา คือ ลดลงในราว 2 ใน 3 จึงเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อเอดส์

ส่วนเรื่องวัคซีนเอดส์นั้นก็ได้มีการพัฒนามาเรื่อยๆ เช่นกัน แม้ว่าช่วงหนึ่ง อาจจะชะลอตัวไปบ้าง เพราะผลไม่สู้ดี แต่เนื่องจากยายังไม่รู้ว่า จะรักษาหายขาดได้หรือไม่ และยังมีราคาแพงมาก ยากที่ประเทศจนๆ ซึ่งมีคนที่ติดเอดส์มากๆ จะสามารถนำไปใช้ได้ ประกอบกับการประกาศนโยบายของประธานาธิบดีคลินตัน ของสหรัฐอเมริกาว่าจะต้องคิดค้นวัคซีนเอดส์ให้ได้ภายใน 10 ปีข้างหน้า (นับตั้งแต่ 2540 ที่ประกาศ) จึงทำให้เกิดความสนใจในการพัฒนาวัคซีนเอดส์ ขึ้นมาใหม่อีกรอบ โดยมีการคิดค้นวิธีการทำวัคซีนใหม่ ๆ เช่น DNA หรือมีสายพันธุ์ไวรัสเอดส์ ที่เป็นปัญหาในประเทศกำลังพัฒนาผสมอยู่ ในวัคซีนเอดส์ที่ทดลองด้วย เป็นต้น

การศึกษาส่วนใหญ่ยังอยู่ในขั้นที่ทดสอบความปลอดภัย และดูการตอบสนอง ทางภูมิคุ้มกัน ในประเทศไทยเองก็มีการทดสอบในลักษณะนี้อยู่หลายราย เป็นที่หวังว่า ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จะมีวัคซีนที่พร้อมจะก้าวสู่ขั้นตอนการทดสอบ ประสิทธิภาพ คือ ทดสอบในประชากรกลุ่มเสี่ยง เพื่อดูว่าจะป้องกันได้ผลจริงหรือไม่ ถ้าโชคดีพบว่าป้องกันได้จริง ทั่วโลกก็คงจะมีโอกาสได้ใช้วัคซีนนั้นในอีก 3-4 ปีหลังเริ่มขั้นตอนการทดสอบประสิทธิภาพ ถ้าทดสอบแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องนอนรอคอยออกไปอีก

ศ.นพ.ประพันธ์ ภานุภาค


ขอบคุณนิตยสารใกล้หมอ ที่อนุญาตให้นำมาเผยแพร่

[ BACK TO LIST]
main พบแพทย์ คอมพิวเตอร์ เรื่องบ้าน เรื่องรถ เรื่องกฏหมาย เรื่องของผู้บริโภค เรื่องเบาๆ คลายเครียด

มีปัญหาสุขภาพ ที่นี่มีคำตอบ ห้องสมุดE-LIB[ hey.to/yimyam ][ i.am/thaidoc ]

Best view with [IE3.02][NETSCAPE 4.05][OPERA 3.21]resolution 800x600